สารหนูเกิดจากอะไร
สารหนู (Arsenic) คืออะไร? สารหนูเกิดจากการผุกร่อนของหินและแร่ธาตุ สารหนูเป็นธาตุชนิดหนึ่ง และเป็นส่วนประกอบของแร่บางชนิดในเปลือกโลก เมื่อหินหรือแร่ที่มีสารหนูเกิดการ ผุกร่อนหรือสึกกร่อนตามธรรมชาติ สารหนูจะถูกชะล้างและปล่อยออกมาลงสู่ดินและน้ำใต้ดิน สามารถอยู่ได้หลายรูปแบบทั้งสารหนูอนินทรีย์ (พิษร้ายแรง) และสารหนูอินทรีย์ (พิษน้อยกว่า) สารหนูเองไม่มีสี ไม่มีกลิ่น และไม่มีรสชาติ ทำให้ยากที่จะสังเกตได้ด้วยประสาทสัมผัสของเรา แต่พิษของมันร้ายแรงมากและสะสมในร่างกายได้ง่าย แม้การได้รับสารหนูปริมาณเล็กน้อยอาจไม่ส่งผลในทันที แต่หากได้รับในปริมาณมากหรือสะสมเป็นเวลานาน ย่อมส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง เช่น ทำลายผิวหนัง ระบบประสาท ระบบย่อยอาหาร ระบบหัวใจและหลอดเลือด และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งหลายชนิด ด้วยเหตุนี้ การตระหนักถึง อันตรายของสารหนู แหล่งที่มา และวิธีป้องกันตนเองจากสารพิษชนิดนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
สารหนูเกิดจากอะไรในธรรมชาติ
สารหนูเป็นธาตุที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและกระจายอยู่ในสิ่งแวดล้อมผ่านกระบวนการทางธรณีวิทยาต่าง ๆ โดย แหล่งกำเนิดตามธรรมชาติ ของสารหนูที่สำคัญ ได้แก่:
- การผุกร่อนของหินและแร่ธาตุ: สารหนูเป็นส่วนประกอบของแร่บางชนิดในเปลือกโลก เมื่อหินหรือแร่ที่มีสารหนูเกิดการผุกร่อนหรือสึกกร่อนตามธรรมชาติ สารหนูจะถูกชะล้างและปล่อยออกมาลงสู่ดินและน้ำใต้ดิน ทำให้แหล่งน้ำธรรมชาติอย่างน้ำบาดาล บ่อน้ำ หรือน้ำพุอาจมีการปนเปื้อนสารหนูในบางพื้นที่
- การระเบิดของภูเขาไฟ: ก๊าซและเถ้าภูเขาไฟเป็นอีกกลไกหนึ่งที่ปลดปล่อยสารหนูออกสู่สิ่งแวดล้อม การปะทุของภูเขาไฟสามารถพ่นสารหนูและแร่ธาตุพิษอื่น ๆ สู่อากาศและตกลงสู่พื้นดิน กระจายปนเปื้อนไปในระบบนิเวศโดยรอบ นอกจากนี้น้ำฝนที่ไหลผ่านเถ้าภูเขาไฟก็อาจชะล้างสารหนูลงสู่น้ำผิวดินและน้ำใต้ดินได้เช่นกัน
สารหนูตามธรรมชาติมักพบได้ในปริมาณต่ำ แต่ในบางพื้นที่ภูมิประเทศที่มีองค์ประกอบดินหรือหินที่อุดมด้วยสารหนูตามธรรมชาติ (เช่นบางเขตที่มีแหล่งแร่ทองคำหรือแร่โลหะหนัก) จะพบระดับสารหนูในสิ่งแวดล้อมสูงกว่าปกติ ดังนั้นแม้ไม่มีกิจกรรมของมนุษย์ พื้นที่เหล่านี้ก็อาจมีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนสารหนูในน้ำดื่มและดินอยู่แล้ว
สารหนูจากกิจกรรมของมนุษย์
นอกจากแหล่งกำเนิดตามธรรมชาติแล้ว กิจกรรมของมนุษย์ หลายประเภทก็เป็นสาเหตุที่ทำให้สารหนูถูกผลิตหรือปล่อยปนเปื้อนสู่สิ่งแวดล้อมมากขึ้น ดังต่อไปนี้:
- การทำเหมืองแร่และการถลุงโลหะ: อุตสาหกรรมเหมืองแร่ (โดยเฉพาะเหมืองทองคำ และการถลุงแร่ทองแดง ตะกั่ว หรือโลหะอื่น ๆ) มักปล่อยสารหนูออกมาในรูปของฝุ่น ควัน หรือน้ำเสียที่ชะล้างจากเหมือง สู่สิ่งแวดล้อม ตัวอย่างเช่น การถลุงแร่ทองแดงสามารถได้ผลพลอยได้เป็นสารอาร์เซนิกไตรออกไซด์ (arsenic trioxide) ซึ่งเป็นผงสีขาวที่มีสารหนูเข้มข้น หากกำจัดไม่ดีอาจกระจายสู่ดินน้ำและอากาศ
- สารกำจัดศัตรูพืชและเคมีเกษตร: ในอดีตสารหนูถูกใช้เป็นส่วนผสมในยาฆ่าแมลง ยากำจัดศัตรูพืช และยาปราบวัชพืชบางชนิดอย่างแพร่หลาย เมื่อใช้ในไร่นาหรือสวน ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ทำให้ดินและแหล่งน้ำบริเวณใกล้เคียงมีการปนเปื้อนสารหนูสะสมได้ อย่างไรก็ดี ปัจจุบันหลายประเทศได้สั่งห้ามหรือควบคุมการใช้สารหนูในผลิตภัณฑ์การเกษตรอย่างเข้มงวดมากขึ้นแต่พื้นที่เกษตรที่เคยใช้สารเคมีเหล่านี้มาเป็นเวลานานยังคงอาจมีสารหนูตกค้างอยู่ในดิน
- กระบวนการทางอุตสาหกรรม: โรงงานอุตสาหกรรมบางประเภทมีการใช้หรือผลิตสารหนูในขั้นตอนการผลิต เช่น การผลิตแก้วและเซมิคอนดักเตอร์, การฟอกหนังสัตว์, การถนอมเนื้อไม้ (เช่นการอาบไม้ด้วยสารกันปลวกที่มีสารหนู) ตลอดจนการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ บางชนิด เมื่อมีกระบวนการเหล่านี้ สารหนูอาจถูกปล่อยออกมากับของเสียหรือน้ำทิ้งจากโรงงานได้ หากโรงงานไม่มีการบำบัดมลพิษที่เหมาะสม พื้นที่ใกล้เคียงก็เสี่ยงต่อการปนเปื้อน
- การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล: การเผาถ่านหินและน้ำมันในโรงไฟฟ้าหรือโรงงานอุตสาหกรรมจะปล่อยสารหนูที่อยู่ในเชื้อเพลิงเหล่านั้นออกมากับควันสู่บรรยากาศ เมื่อสารหนูตกลงสู่พื้นดินก็อาจปนเปื้อนดินและน้ำต่อไปได้เช่นกันนอกจากนี้ การเผาขยะหรือวัสดุต่าง ๆ ที่มีสารหนูเจือปนก็เป็นอีกทางที่สารหนูสามารถกระจายสู่สิ่งแวดล้อม
จากกิจกรรมข้างต้นจะเห็นได้ว่าสารหนูถูกนำมาใช้หรือเกิดเป็นผลพลอยได้ในหลายอุตสาหกรรม แม้ในบางประเทศจะเลิกใช้สารหนูในผลิตภัณฑ์หลายประเภทแล้ว แต่การปนเปื้อนที่เกิดขึ้นยังคงตกค้างในสิ่งแวดล้อมได้นานหลายปี ดังนั้นบริเวณที่มีโรงงานอุตสาหกรรมหรือเหมืองแร่จึงมักถูกจับตามองเป็นพิเศษเรื่องระดับสารหนูในดิน น้ำ และอากาศ
พบสารหนูได้ที่ไหนบ้างในสิ่งแวดล้อม
สารหนูที่เกิดจากธรรมชาติและกิจกรรมมนุษย์สามารถแพร่กระจายไปสู่สิ่งแวดล้อมรอบตัวเราได้หลายทาง เราอาจพบการปนเปื้อนของสารหนูในแหล่งต่าง ๆ ดังนี้:
- น้ำดื่มและแหล่งน้ำธรรมชาติ: น้ำใต้ดิน (น้ำบาดาล หรือน้ำบ่อ) ถือเป็นแหล่งที่มาหลักที่ทำให้มนุษย์ได้รับสารหนู โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ชั้นดินและหินมีสารหนูตามธรรมชาติสูง หรือบริเวณใกล้เคียงโรงงานอุตสาหกรรมและเหมืองแร่ที่อาจมีน้ำเสียปนเปื้อน สารหนูในน้ำไม่มีรสหรือกลิ่น ผู้คนอาจบริโภคเข้าไปโดยไม่รู้ตัว นอกจากนี้ น้ำผิวดิน อย่างแม่น้ำ ลำคลอง หรือทะเลสาบก็อาจปนเปื้อนสารหนูจากการชะล้างของหน้าดินหรือของเสียที่ถูกปล่อยลงน้ำได้ (เช่น กรณีข่าวการปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกกจากเหมืองทองในประเทศเพื่อนบ้าน) ดังนั้นในบางประเทศเช่นบังกลาเทศ อินเดีย หรือแม้แต่บางพื้นที่ในไทย มีการตรวจพบน้ำบาดาลที่มีสารหนูเกินมาตรฐานซึ่งเป็นภัยต่อชุมชนอย่างมาก
- ดินและอากาศบริเวณโรงงานหรือพื้นที่เกษตร: พื้นดินรอบๆ โรงงานอุตสาหกรรมหรือเหมืองแร่ ที่มีการใช้สารหนูอาจปนเปื้อนด้วยฝุ่นหรือของเสียที่มีสารหนูสะสมอยู่ หากดินบริเวณนั้นปนเปื้อน สารหนูสามารถคงอยู่ได้นานและซึมลงน้ำใต้ดินได้อีกด้วยขณะเดียวกัน อากาศและฝุ่นละออง รอบแหล่งโรงงานเหล่านี้ก็อาจมีสารหนูปะปนออกมากับควันหรือฝุ่นที่ฟุ้งกระจาย หากเราสูดหายใจรับฝุ่นหรือควันที่มีสารหนูเข้าไป ก็เท่ากับได้รับสารพิษสู่ร่างกายโดยตรง ดังนั้นชุมชนใกล้โรงงานที่มีความเสี่ยงควรระมัดระวัง หรือตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมสม่ำเสมอ นอกจากนี้ พื้นที่เพาะปลูก ที่ใช้สารเคมีการเกษตรที่มีสารหนู (เช่น สวนผลไม้หรือไร่นาที่เคยใช้ยาฆ่าแมลงที่มีสารหนู) ดินในบริเวณนั้นก็อาจปนเปื้อนและส่งต่อสารหนูเข้าสู่พืชผลทางการเกษตรได้
- อาหารและผลิตภัณฑ์บริโภค: อาหาร เป็นอีกช่องทางที่ทำให้เรารับสารหนูโดยไม่รู้ตัว อาหารบางประเภทมีแนวโน้มปนเปื้อนสารหนูได้มากกว่าปกติ ตัวอย่างเช่น
- ข้าวสาร ซึ่งเป็นพืชที่ปลูกในน้ำและดูดซับสารหนูจากดิน/น้ำได้ดีกว่าพืชอื่นๆ ทำให้ข้าวจากพื้นที่น้ำบาดาลปนเปื้อนสารหนูสูงอาจมีสารหนูสะสมอยู่มาก
- อาหารทะเล เช่น ปลา กุ้ง หอย และสาหร่ายทะเล อาจมีสารหนูในรูปสารหนูอินทรีย์สะสมอยู่ (โดยทั่วไปสารหนูอินทรีย์มีพิษน้อยกว่าแบบอนินทรีย์) แต่หากบริโภคในปริมาณมากก็อาจเป็นอันตรายได้
- น้ำผลไม้บางชนิด (มีรายงานการพบสารหนูในน้ำแอปเปิล), เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างไวน์, น้ำแร่ธรรมชาติ, รวมถึง บุหรี่ยาสูบ (ต้นยาสูบสามารถดูดสารหนูจากดินและปุ๋ยได้ ทำให้ผู้สูบบุหรี่ได้รับสารหนูจากใบยาสูบด้วย) แม้ปริมาณสารหนูในอาหารหรือผลิตภัณฑ์เหล่านี้โดยทั่วไปจะต่ำกว่าน้ำดื่มที่ปนเปื้อนมาก แต่การบริโภคอย่างต่อเนื่องก็อาจสะสมสารหนูในร่างกายได้เช่นกัน
โดยสรุป เราสามารถพบสารหนูได้ทั้งในแหล่งน้ำ ดิน อากาศ และอาหารใกล้ตัวเรา การรู้แหล่งที่มาที่เป็นไปได้ของสารหนู จะช่วยให้เราระมัดระวังในการเลือกน้ำและอาหารบริโภค ตลอดจนหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับมลพิษจากสารหนูโดยไม่จำเป็น
อันตรายของสารหนูต่อร่างกาย
สารหนูถูกจัดเป็นสารพิษที่มีอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพมนุษย์ ทั้งในแบบเฉียบพลันเมื่อได้รับปริมาณมากในคราวเดียว และแบบเรื้อรังเมื่อได้รับปริมาณน้อยสะสมต่อเนื่องเป็นเวลานาน ดังนี้:
- พิษเฉียบพลัน (Acute Arsenic Poisoning): หากร่างกายได้รับสารหนูในปริมาณสูงในช่วงเวลาสั้น ๆ จะเกิดอาการเป็นพิษเฉียบพลันอย่างรวดเร็ว อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องรุนแรง ท้องเสียรุนแรง อ่อนเพลีย เวียนศีรษะ หัวใจเต้นผิดจังหวะ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ชักกระตุก และหากได้รับในปริมาณมหาศาลอาจทำให้หมดสติช็อกและเสียชีวิตได้ อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นภายในไม่กี่ชั่วโมงถึงวันหลังได้รับสารหนูปริมาณมาก
- พิษเรื้อรัง (Chronic Arsenic Exposure): การได้รับสารหนูทีละน้อยแต่ต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปีจะไม่ก่อให้เกิดอาการเฉียบพลันทันที แต่สารหนูจะสะสมและค่อย ๆ ทำลายระบบต่าง ๆ ของร่างกายอย่างเงียบๆ จนแสดงอาการเมื่อความเสียหายลุกลามมากแล้ว อาการสำคัญที่สังเกตได้ เช่น ผิวหนังเริ่มเปลี่ยนแปลง มีสีคล้ำหรือมีจุดด่างขาวผิดปกติ และผิวหนังหนาตัวแข็งขึ้นโดยเฉพาะที่ฝ่ามือฝ่าเท้า (อาการที่เรียกว่า hyperkeratosis) ซึ่งความผิดปกติเหล่านี้อาจพัฒนาไปสู่การเป็นมะเร็งผิวหนังในระยะต่อมา
การได้รับสารหนูสะสมเป็นเวลานานอาจทำให้ผิวหนังเกิดจุดด่างดำหรือด้านแข็งที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า ดังภาพ ซึ่งเป็นสัญญาณของพิษสารหนูเรื้อรังและอาจลุกลามกลายเป็นมะเร็งผิวหนังได้ นอกจากนี้ สารหนูยังจัดว่าเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ (Group 1 carcinogen) โดยการได้รับสารหนูเป็นระยะเวลานานมีความเชื่อมโยงกับการเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งหลากหลายชนิด เช่น มะเร็งผิวหนัง มะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งตับ และมะเร็งไต ไม่เพียงเท่านั้น สารหนูยังก่อผลเสียต่อระบบอื่น ๆ ของร่างกายในระยะยาว เช่น ทำลายเส้นประสาททำให้ปลายมือปลายเท้าชาและอ่อนแรง, ส่งผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด (เพิ่มโอกาสเกิดความดันโลหิตสูงและโรคหลอดเลือดหัวใจ), รวมถึงอาจสัมพันธ์กับการเกิดโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงในผู้ที่ได้รับสารหนูเรื้อรังอีกด้วย กล่าวได้ว่าสารหนูเป็น “ภัยเงียบ” ที่คุกคามสุขภาพของเราทีละน้อย และเมื่อรู้ตัวอีกทีความเสียหายก็มักจะรุนแรงแล้ว
หมายเหตุ: เด็กและทารกในครรภ์เป็นกลุ่มที่อ่อนไหวต่อพิษสารหนูเป็นพิเศษ การได้รับสารหนูขณะตั้งครรภ์อาจทำให้ทารกมีพัฒนาการบกพร่องหรือเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตในวัยหนุ่มสาว ส่วนเด็กที่ดื่มน้ำหรือกินอาหารปนเปื้อนสารหนูอาจมีปัญหาด้านการเจริญเติบโตและพัฒนาการทางสมองตามมา ดังนั้นทุกช่วงวัยจึงควรหลีกเลี่ยงการได้รับสารหนูเกินมาตรฐาน
วิธีตรวจสารหนูในร่างกายหรือน้ำดื่ม
เมื่อต้องการทราบว่ามีการปนเปื้อนสารหนูหรือไม่ ทั้งในร่างกายคนและในแหล่งน้ำ สามารถใช้วิธีการตรวจวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ดังต่อไปนี้:
- การตรวจสารหนูในร่างกาย: หากสงสัยว่าร่างกายได้รับสารหนู (เช่น อาศัยในพื้นที่เสี่ยงหรือมีอาการน่าสงสัย) ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจยืนยัน โดยทั่วไปการตรวจหาสารหนูในร่างกายทำได้ผ่านหลายวิธี ได้แก่ การตรวจปัสสาวะ ซึ่งเป็นวิธีที่นิยมที่สุด ใช้ตรวจสารหนูที่ร่างกายได้รับในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา, การตรวจเลือด ใช้ตรวจกรณีได้รับสารหนูเฉียบพลันในช่วงไม่กี่ชั่วโมงถึงไม่กี่วัน, และ การตรวจเส้นผมหรือเล็บ สำหรับกรณีสงสัยการได้รับสารหนูสะสมระยะยาว เนื่องจากสารหนูจะสะสมอยู่ในเนื้อเยื่อเหล่านี้ตามช่วงเวลาที่ได้รับ ผลการตรวจวิเคราะห์จะช่วยให้แพทย์ทราบระดับสารหนูในร่างกายและวางแผนการรักษาหรือป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพต่อไปได้อย่างเหมาะสม
- การตรวจสารหนูในน้ำดื่ม: สำหรับผู้ที่ใช้น้ำบาดาลหรือน้ำจากแหล่งธรรมชาติในการอุปโภคบริโภค การตรวจคุณภาพน้ำดื่ม เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อตรวจหาสารหนูและโลหะหนักอื่น ๆ ที่อาจปนเปื้อนอยู่ ควรเก็บตัวอย่างน้ำส่งตรวจที่ห้องปฏิบัติการอย่างสม่ำเสมอ (เช่น ปีละครั้ง) หากพบปริมาณสารหนูเกินมาตรฐานความปลอดภัย วิธีแก้ไขคือหลีกเลี่ยงการใช้น้ำนั้นในการดื่มหรือปรุงอาหารทันที ควรเปลี่ยนไปใช้น้ำสะอาดแหล่งอื่น เช่น น้ำประปาที่ผ่านการบำบัด หรือน้ำดื่มบรรจุขวดที่ได้มาตรฐานแทน นอกจากนี้ในปัจจุบันมีระบบกรองน้ำที่สามารถกำจัดสารหนูได้ (เช่น เครื่องกรองระบบ Reverse Osmosis) ซึ่งประชาชนในพื้นที่เสี่ยงอาจพิจารณาติดตั้งเพื่อใช้ผลิตน้ำดื่มปลอดภัยใช้เองที่บ้าน ทั้งนี้ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อเลือกใช้วิธีที่เหมาะสม
สำหรับผักผลไม้หรืออาหารอื่น หากกังวลเรื่องสารหนูสามารถส่งตัวอย่างไปยังห้องแล็บของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือมหาวิทยาลัยที่มีคณะวิทยาศาสตร์การอาหาร เพื่อทำการวิเคราะห์หาโลหะหนักได้เช่นกัน
การป้องกันและลดความเสี่ยงจากสารหนู
แม้ว่าเราไม่อาจหลีกเลี่ยงสารหนูที่มีอยู่ตามธรรมชาติในสิ่งแวดล้อมได้ทั้งหมด แต่เราสามารถดำเนินการบางอย่างเพื่อป้องกันหรือลดความเสี่ยงจากการได้รับสารหนู ดังนี้:
- ตรวจสอบคุณภาพน้ำดื่ม: หากจำเป็นต้องดื่มน้ำบาดาลหรือน้ำจากบ่อ ควรส่งน้ำตัวอย่างไปตรวจวิเคราะห์ปริมาณสารหนูเป็นประจำทุกระยะ หากผลตรวจพบว่ามีสารหนูเกินมาตรฐานความปลอดภัย ควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำนั้นทันที โดยอาจเปลี่ยนไปใช้น้ำประปาที่ผ่านการบำบัดแล้ว หรือน้ำดื่มบรรจุขวดที่ได้มาตรฐาน และพิจารณาติดตั้งระบบกรองน้ำที่สามารถกรองสารหนูได้ในครัวเรือน
- ระมัดระวังในการเลือกบริโภคอาหาร: ควรเลือกซื้ออาหารและวัตถุดิบจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ หากทราบว่าข้าวหรือพืชผักจากบางพื้นที่มีการปนเปื้อนสารหนูสูงให้หลีกเลี่ยง นอกจากนี้ การล้างวัตถุดิบให้สะอาด สามารถช่วยลดสารปนเปื้อนบางส่วนได้ เช่น การล้างข้าวสารหลาย ๆ น้ำก่อนหุงจะช่วยชะล้างสารหนูออกไปได้บ้าง และควรบริโภคอาหารให้หลากหลายเพื่อกระจายความเสี่ยง ไม่รับสารปนเปื้อนชนิดใดชนิดหนึ่งมากเกินไปจากแหล่งเดียว
- รักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล: หลังจากสัมผัสดิน โคลน หรือน้ำที่อาจปนเปื้อนสารหนู (เช่น การเดินลุยโคลน เล่นน้ำบ่อ หรืองานเกษตรในดินที่สงสัยว่ามีสารหนู) ควรรีบล้างมือและส่วนที่สัมผัสให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำ ก่อนที่จะไปรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำ วิธีนี้จะช่วยลดโอกาสที่สารหนูที่อาจติดตามผิวหนังมือจะปนเปื้อนเข้าสู่ร่างกายผ่านการกินได้
- ป้องกันตนเองในสถานที่ทำงานเสี่ยง: ผู้ที่ประกอบอาชีพในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ โรงงานถลุงโลหะ โรงงานผลิตสารเคมีกำจัดแมลง หรืออุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสารหนู ควรสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) อย่างถูกต้อง เช่น หน้ากากกรองอากาศเฉพาะทาง ถุงมือ และชุดป้องกันสารเคมีขณะปฏิบัติงาน รวมถึงปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัยของสถานประกอบการอย่างเคร่งครัด เพื่อลดการสัมผัสสารพิษเข้าสู่ร่างกายให้น้อยที่สุด หลังเลิกงานควรทำความสะอาดร่างกายและเสื้อผ้าทุกครั้งเพื่อชะล้างฝุ่นหรือสารตกค้างออกไป ไม่ใส่ชุดงานกลับบ้านเพื่อป้องกันการปนเปื้อนสู่สมาชิกครอบครัว
สรุป: สารหนูเป็นธาตุพิษที่แฝงตัวอยู่ในสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา ทั้งจากกระบวนการทางธรรมชาติและกิจกรรมของมนุษย์ การได้รับสารหนูไม่ว่าจะในปริมาณมากแบบเฉียบพลันหรือสะสมเรื้อรังก็ล้วนเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง การป้องกันที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงแหล่งที่มาของสารหนู หมั่นตรวจสอบน้ำดื่มและอาหารที่บริโภคในชีวิตประจำวัน หากอยู่ในพื้นที่เสี่ยงควรเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ด้วยความรู้เท่าทันและความระมัดระวัง เราสามารถลดโอกาสการได้รับสารหนู และปกป้องสุขภาพของตนเองและครอบครัวจากพิษภัยของสารหนูได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อ้างอิงแหล่งข้อมูล:
- โรงพยาบาลพริ้นซ์ ปากน้ำโพ. “สารหนู ภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพ จากสิ่งแวดล้อมสู่ร่างกาย.” Princ Hospital Paknampo, 2023princpaknampo.comprincpaknampo.com
- Medical Line Lab. “สารหนู (Arsenic): ภัยเงียบใกล้ตัวที่คุณควรรู้ และวิธีตรวจหาสารหนูเพื่อสุขภาพที่ดี.” MedicalLineLab.co.th, 2024medicallinelab.co.thmedicallinelab.co.th
- HDmall. “อันตรายของสารหนู.” HDmall สุขภาพ, 25 พ.ย. 2024hdmall.co.thhdmall.co.th
- World Health Organization (WHO). “Arsenic – Key Facts and Health Effects.” WHO Fact Sheets, 7 Dec
ตรวจสารหนูด้วย QUANTOFIX Arsenic 0–5 ppm
QUANTOFIX Arsenic 0–5 ppm เป็นกระดาษทดสอบคุณภาพน้ำสำหรับตรวจหาสารหนู (Arsenic) ในช่วงความเข้มข้นต่ำ เหมาะสำหรับการตรวจสอบน้ำดื่ม น้ำบาดาล หรือน้ำใช้ในห้องแล็บและอุตสาหกรรมอาหาร/เครื่องดื่ม โดยใช้หลักการ Modified Gutzeit Method ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับสากล